วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Architecture)

สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Architecture)

ความหมายของสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
  สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ คือ การออกแบบส่วนต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ส่วน ดังนี้
l  สถาปัตยกรรมคำสั่ง ISA. (Instruction Set Architecture)
คือ รูปแบบของการกำหนดภาษาที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตระกูลต่างๆ ภาษาที่ใช้กับเครื่องประกอบกันขึ้นเป็นโปรแกรม หากโปรแกรมที่เขียนใช้กับเครื่องรุ่นเก่า และสามารถ Run กับเครื่องรุ่นใหม่ในตระกูลเดียวกันได้ เรียกเครื่องรุ่นใหม่นั้นได้ว่า "Upward Compatibility" ในทางกลับกันหากโปรแกรมที่เขียนขึ้นใช้กับเครื่องรุ่นใหม่แล้วไม่สามารถ Run กับเครื่องรุ่นเก่ากว่าได้ เรียกคอมพิวเตอร์รุ่นเก่านั้นไดว่า "Downward Compatibility"
l  สถาปัตยกรรม Hardware (Hardware System Architecture)
คือ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น CPU , Storage System  , Bus และ I/O System โดยพัฒนาขึ้นมาตามลำดับจากแนวคิดระบบคอมพิวเตอร์พื้นฐานของ Von Neumann ประกอบด้วย Hardware พื้นฐาน คื
    1. CPU (Central Processing Unit-หน่วยประมวลผลกลาง
                2. Main Memory System -
ระบบหน่วยความจำ
                3. Input/Output System -
ระบบอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล/อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ข้อมูล                          
                4. Interconnection System (BUS) –
ระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์  ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
นอกจากนั้นคำสั่งจะต้อง Execute ทีละคำสั่งตามลำดับ และมีเส้นทาง (BUS) ในการขนถ่ายข้อมูลอย่างน้อย เส้นทางระหว่าง CPU กับ Main Memory เรียกว่า "Von Neumann"
หน้าที่ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
                        ในอดีต คอมพิวเตอร์ คือเรื่องของงานชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในปัจจุบันจะมองว่าคอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วย Hardware และ Software ซึ่งมีหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้คือ 
1.       ประมวลผลข้อมูลเก็บ
        ข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีการประมลผลก่อน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้  หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ  การประมวลผลข้อมูลนั้น อาจจะเป็นเรื่องของการคำนวณ การเปรียบเทียบข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูลทางตรรกะ ซึ่งจุดประสงค์หลักของการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ ก็คือใช้ประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณมากแทนมนุษย์นั่นเอง

  1. เก็บหรือบันทึกข้อมูล
        ข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ บางครั้งยังอาจจะไม่นำไปประมวลผลเลยทันที  อาจต้องรอข้อมูลอื่น ๆ อีกมาประกอบในการประมวลผล จึงจำเป็นต้องเก็บหรือบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะประมวลผล จึงดึงข้อมูลเหล่านั้นออกมาใช้  หรืออีกในกรณีหนึ่ง ผลลัพธ์ของการประมวลผลข้อมูลแล้ว ยังไม่ได้นำไปใช้งานทันที  อาจจะบันทึกเก็บไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลก่อน เพื่อรอการใช้งานในอนาคต

  1. เคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ภายนอก
        เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ รับข้อมูลจากภายนอกมา  ข้อมูลจะต้องเคลื่อนย้ายจากหน่วยรับข้อมูล  จากนั้นข้อมูลจะเคลื่อนย้ายมายัง หน่วยประมวลผลข้อมูล  และขณะเมื่อข้อมูลนั้นกำลังประมวลผลอยู่ภายในหน่วยประมวลผลข้อมูลนั้น  ข้อมูลนั้นก็ยังเคลื่อนย้ายไป-มา จนกระทั่งได้ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว ซึ่งเป็นผลลัพธ์ จะเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ หรือเคลื่อนย้ายไปยังอุปกรณ์ภายนอก ที่ต่อเชื่อมอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์นั้น

4.       ควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง
        การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากจะมีกลไกในการควบคุม การประมวลผลข้อมูลและ การไหลของข้อมูล ภายในหน่วยย่อยต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์แล้ว  ระบบคอมพิวเตอร์ยังควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ภายนอก ที่ต่อพ่วงอยู่กับระบบอีกด้วย

    แรงผลักดันในการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์
                    เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่จะต้องประมวลผลมีอยู่มาก อีกทั้งกรรมวิธีในการประมวลผลข้อมูลนับวันก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น การประมวลผลจำเป็นต้องใช้เวลาให้สั้นลงทันต่อเหตุการณ์ มีความถูกต้องแม่นยำสูงเพื่อให้สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งมีเรื่องของงานต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้
1)      การพยากรณ์อากาศ      
        ในการคาดหมายสภาวะของลมฟ้าอากาศ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาข้างหน้า  จำเป็นต้องทราบข้อมูลสภาวะของบรรยากาศ ที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้นว่าประกอบด้วย ระบบลมฟ้าอากาศเป็นอย่างไร  มีการเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนแปลงความรุนแรง เช่นไร หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว จะก่อให้เกิดลักษณะอากาศประเภทใด
                                                             
2)      สมุทรศาสตร์       
        จะเป็นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการไหลเวียนของน้ำทะเล  ตะกอนในทะเล และคุณภาพของน้ำบริเวณชายฝั่ง  เช่นการแพร่กระจายของตะกอนแขวนลอยที่เกิดจากกิจกรรมเหมืองแร่ใน ทะเล  นอกจากนั้นยังได้ศึกษาการแพร่กระจายของตะกอนบริเวณปากแม่น้ำต่าง ๆ  ตลอดจนการพังทะลายของชายฝั่งทะเล
                                        
3)      แผ่นดินไหวและค้นหาแหล่งน้ำมันเชื้อเพลิง
        แผ่นดินไหวคืออาการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ซึ่งจะนำความเสียหายมาสู่มนุษย์ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังงานที่ปล่อยออกมา  แผ่นดินไหวมีสาเหตุหลัก 3 สาเหตุคือ
            1) โดยขบวนการแปรสันฐานของเปลือกโลกเอง
            2) โดยขบวนการภูเขาไฟระเบิด
            3) โดยขบวนการกระทำของมนุษย์ หรือเหตุอื่น ๆ เช่น อุกกาบาต การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ 

4)      อากาศพลศาสตร์และการวิเคราะห์โครงสร้าง
        แรงทางอากาศพลศาสตร์ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระแสอากาศที่สัมพันธ์กับวัตถุ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง คุณลักษณะเกี่ยวกับมวล ความหนาแน่น ความเร็ว อุณหภูมิ  จะทำให้เกิดแรงต่าง ๆ เช่น แรงขับ แรงต้าน  แรงยก และแรงโน้มถ่วง  เช่น เมื่อเครื่องบินเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ก็จะปะทะกับกระแสอากาศ เกิดเป็นแรงต้าน(Drag) ที่มีทิศทางสวนไปข้างหลัง  พยายามต้านให้ความเร็วลดลง  แรงดันของอากาศภายใต้ปีกเครื่องบินที่เกิดจากกระแสอากาศ ขณะที่เครื่องบินผ่านอากาศ จะเกิดแรงยก  น้ำหนักเครื่องบินจะทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงสู่พื้นโลก  โดยขณะที่เครื่องบิน บินอยู่ แรงขับจะต้องมากกว่าแรงดัน และแรงยกจะต้องมากกว่าแรงโน้มถ่วง


5)      ปัญญาประดิษฐ์  
        เป็นการสร้างเครื่องจักรกล ให้ทำกิริยาบางอย่าง หรืองานบางอย่าง คล้ายกับการใช้ปัญญา หรือความคิดในการกระทำ หรือที่เรียกว่า กิริยาปัญญาประดิษฐ์”  โดยทำให้เครื่องจักรนั้นลอกเลียนกิริยาต่าง ๆ ของมนุษย์ ที่กระทำด้วยปัญญา เช่น การมองเห็น การสังเคราะห์เสียงพูด การเข้าใจภาษาพูดเป็นต้น

6)      การทหาร
        กองทัพเป็นเครื่องมือของรัฐที่ใช้ในยามทั้งสันติและสงคราม  ในยามสันติจะใช้ปฏิบัติการในลักษณะป้องปราม  ในยามสงคราม จะใช้ปฏิบัติการของกองทัพในลักษณะของการรุกและป้องกันตนเอง  โดยกองทัพจะใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ที่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุม เพื่อให้ปฏิบัติการกับเป้าหมายที่คาดว่าน่าจะเป็นภัยคุกคาม และเตรียมแผนเผชิญเหตุ อย่างรอบคอบ ทันเวลา และถูกต้องแม่นยำ  เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปของเป้าหมาย

       7)  เศรษฐศาสตร์
                        นอกจากปัจจัยในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แล้ว มนุษย์ยังมีความต้องการอื่น ๆ อีก คือ สินค้าและบริการ  สินค้าและบริการ เกิดจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง    จำกัด จำเป็นจะต้องจัดการในเรื่องการผลิตและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ  เพื่อการกระจายรายได้ระหว่างเจ้าของปัจจัยการผลิต  การแลกเปลียนความเป็นเจ้าของสินค้าและบริการ  โดยนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ให้บริการ  ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้น จะนำมาใช้วิเคราะห์ โดยคอมพิวเตอร์ เพื่อจะได้ทราบเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ ๆ นั้น



    ยุคต่างๆ ของคอมพิวเตอร์
  ยุคที่ 1 (1944 - 1958) ยุคแห่งหลอดสุญญากาศ
                ใช้หลอดสูญญากาศ ความต้านทาน Capacitor และ สวิทช์ ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์ใช้คำนวณค่าในตารางการยิงปืนใหญ่ ใช้ภาษาเครื่องจักร ใช้กำลังไฟฟ้ามาก
  ยุคที่ 2 (1959 - 1964) ยุคแห่งทรานซิสเตอร์
                ใช้ Transistor เป็นวงจรหลักของระบบคอมพิวเตอร์ ใช้ภาษาระดับสูง มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์แบบFloating point  
  ยุคที่ 3 (1964 - 1974) ยุคแห่ง IC
                เริ่มใช้วงจรรวม (Integrated circuit) มีหน่วยความจำเป็นแบบ Semi conductor ขนาดของคอมพิวเตอร ์จึงมีขนาดเล็กลง
  ยุคที่ 4 (1975 - ปัจจุบัน) ยุคแห่ง LSI
                ใช้เทคโนโลยี VLSI ประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น ในยุคนี้ขนาดของคอมพิวเตอร์จะมีขนาดเล็กลงมาก
  ยุคที่ 5 (ปัจจุบัน - ????) ยุคปัญญาประดิษฐ์
                VLSI , ULSI , Parallel System , Intelligence คาดว่าในยุคนี้จะเป็นยุคของปัญญาประดิษฐ์ การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานแบบขนานกันไป มีความเร็วในการประมวลผลสูงมาก
    แนวโน้มการใช้คอมพิวเตอร์
  Data processing - เป็นพื้นฐานของการประมวลผลข้อมูล โดยที่ข้อมูลมีจำนวนมาก ใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยเพื่อลดเวลาการประมวลผลเพื่อให้ได้ Information ทันเวลานั่นเอง
  Information processing – ข่าวสาร หรือ Information ก็ยังมีอยู่มาก จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลให้ได้ข้อความรู้ (Knowledge)
  Knowledge processing - เป็นการประมวลผล ข้อความรู้ เพื่อเลือกหนทางที่ดีที่สุด
 Intelligence processing - เป็นการประมวลผลข้อความรู้ที่ดีที่สุด เพื่อใช้ในการตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ ซึ่งนั่นหมายถึง เป็นการประมวลผลที่ซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เหตุผลในการประมวลมากขึ้น และใช้ข้อมูลในการประมวลผลน้อยลง


    การแบ่งแยกประเภทของสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์
     ระบบคอมพิวเตอร์ประเภท SISD (Single Instruction Single Data Stream) - จะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีโปรเซสเซอร์เดียว ที่ Execute 1 คำสั่ง ต่อ ชุดข้อมูล
      ระบบคอมพิวเตอร์ประเภท MISD (Multiple Instruction Single Data Stream) - จะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มี
                โปรเซสเซอร์หลายตัวที่ทำงานพร้อมกันหรือที่เรียกว่า ทำงาน
                ขนานกัน (Parallel processing) โดยที่โปรเซสเซอร์แต่ละตัวจะ
                มีคำสั่งที่ใช้ Exexcute ของตนเอง แต่ทั้งหมดจะใช้ชุดข้อมูลชุด
                เดียว เช่น ให้คำนวณ f(x) = 2*x^2+4 จะสามารถทำตามขั้นตอน
                ได้ดังนี้คือ             
                1. หาค่า X^2                                         2. คูณผลลัพธ์ของ X^2 ด้วย 2
                3. บวกค่า เข้ากับ 2*X^2                
นั่นคือ     เมื่อ P1 Execute คำสั่งเสร็จก็จะส่งผลลัพธ์ให้ P2 และ
                เมื่อ P2 Execute คำสั่งเสร็จก็จะส่งผลลัพธ์ให้กับ P3  P3 ก็จะ
                Execute คำสั่ง โดยนำผลลัพธ์ที่ออกจาก P2 มาประมวลผล เมื่อ
                P1 และ P2 ทำงานหรือ Execute คำสั่งเสร็จ ก็จะรับข้อมูลและ
                คำสั่งชุดต่อไปมาทำการ Execute ต่อไปเรื่อย ๆ  
      ระบบคอมพิวเตอร์ประเภท SIMD (Single Instruction Multiple Data Stream) –   เป็นการทำงานของโปรเซสเซอร์หลายตัว ที่ทำงานพร้อมกันโดยโปรเซส เซอร์ทุกตัวใช้คำสั่งเดียวกันหมด
                 เช่น การบวกเลข Matrix ที่ประกอบด้วยข้อมูล ชุด ที่ต้องนำมาบวกกัน โดยจะต้องคำนวณข้อมูล  3  ชุด คือ  X1 + Y1  ,  X2 + Y2  และ  X3 + Y3 เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งโปรเซสเซอร์ทุกตัวExcute คำสั่งมาบวกพร้อมกันทั้งหมด โดยมีข้อมูลต่างกัน
      ระบบคอมพิวเตอร์ประเภท MIMD (Multiple Instruction
                Multiple Data Stream) – เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้
                โปรเซสเซอร์หลายตัว แต่เชื่อมโยงกันเพื่อช่วยกันทำงาน
                โปรเซสเซอร์แต่ละตัวใช้คำสั่งและข้อมูลของตนเอง การ
                Execute คำสั่งของงาน แต่ละโปรเซสเซอร์เป็นอิสระต่อกัน
                แต่อาศัยการประสานงานที่ดี



    การเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ (Coupling) ที่มีหลายโปรเซสเซอร์
มีการเชื่อมโยง  2 รูปแบบ คือ
  การเชื่อมโยงอย่างหลวม (Loosely Coupling) - เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหลายโปรเซสเซอร์ แต่ละโปรเซสเซอร์มีหน่วยความจำของตนเอง (Local Memory) และทำงานขนานกันไป มีกลไกการควบคุมการทำงานของโปรเซสเซอร์เหล่านั้น โปรเซสเซอร์แต่ละตัวทำงานเป็นอิสระต่อกัน มีข้อมูลและคำสั่งเป็นของตนเอง โดยติดต่อรับส่งข้อมูลทางช่องทางสื่อสารร่วม การรับส่งข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของข้อมูล
  การเชื่อมโยงอย่างแน่น(Tightly Coupling) - เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหลายโปรเซสเซอร์และสามารถใช้หน่วยความจำร่วมกันได้ โดยเฉพาะหน่วยความจำหลัก แต่โปรเซสเซอร์แต่ละตัวอาจมีหน่วยความจำหลักเป็นของตนเองหรือไม่ก็ได้ จะมีโปรเซสเซอร์หนึ่งควบคุม (Master) และโปรเซสเซอร์อีกหลายๆ ตัวเป็น Slave จึงเรียกการทำงานแบบนี้ว่า Master-Slave


    การวัดประสิทธิภาพของสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์(System Performance)
      Bench Mark - โปรแกรมมาตรฐานที่ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
     Through Put - ประสิทธิภาพของระบบคอมพิวเตอร์ที่ดี จะดูที่ปริมาณงานที่ทำได้ต่อหน่วยเวลา
      Response Time - เวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอบสนองต่อคำสั่ง ที่สั่งให้ทำ
      MIPS(Million Instructions per second) - CPU.Performance ที่ CPU.สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้    กี่ล้านคำสั่งต่อวินาที
      MFLOPS(Million of Floating-point Operations per second)- Numeric Processor ที่สามารถคำนวณตัวเลขทศนิยม
Bandwith  :
      Memory access time- เวลาเฉลี่ยที่ CPU.ใช้ Access ข้อมูลในตำแหน่งต่าง ๆ ของหน่วยความจำ มีหน่วยวัดเป็น Nano second, Milli second etc.                                                                                    
      Memory size - ขนาดความจุของหน่วยความจำ มีหน่วยวัดเป็น Mega Bytes, Giga Bytes etc.

การวัดคุณภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์
                      Generality - มีความสามารถใช้งานได้หลายประเภท เช่น วิศวกรรม วิทยาศาสตร์บัญชี เป็นต้น
                      Applicability - มีความสามารถใช้งานได้ตามจุดประสงค์ของงานนั้น ๆ
                     Efficiency - อัตราเฉลี่ยของเวลา ความคงทนต่องานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อทำงานตามสภาพปกติ
                     Ease of use - ใช้งานง่าย ในลักษณะ Friendly user และสามารถพัฒนา Software ได้ง่าย
          Malleability - ดัดแปลงง่าย สามารถดัดแปลง นำไปใช้งานได้อย่างกว้างขวาง

องค์ประกอบและหลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ มี 3 ส่วน คือ
  • ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์ที่ใช้เป็นชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ เช่น จอคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด เมาส์ CPU RAM Hard disk เป็นต้น
  • ซอฟแวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ สามารถทำงานได้ ซึ่ง ซอฟแวร์ มีอยู่ 2 ประเภท คือ
    ซอฟแวร์ระบบ (Operating System Software) คือ ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบปฏิบัติการ มีหลายระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น Window , IOS, Linux, Dos, UNIX, Solaris เป็นต้น
    ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยใช้พื้นฐานภาษาคอมพิวเตอร์ ต่างๆ เช่น Java, C++ เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการใช้งานต่างๆ ตัวอย่าง   ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software) เช่น Microsoft Office , Adobe Photoshop, AutoCAD เป็นต้น
  • บุคลากร (Peopleware)  คือ ผู้ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ เช่น ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป นักพัฒนาซอฟแวร์ นักวิเคราะห์ระบบ เป็นต้น

หลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

หลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วย ส่วนประกอบหลักๆ อยู่ 4 ส่วน ประกอบด้วย
  • การนำเข้าข้อมูล (Input Unit) คือ การนำเข้าคำสั่งเพื่อต้องการให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลและแสดงผล ตามที่ผู้นำเข้าคำสั่งต้องการ ซึ่งการนำเข้าคำสังจะใช้อุปกรณ์ในการส่งคำสั่งมากมาย ยกตัวอย่างเช่น  Mouse, Keyboard, Joystick และ Touch Pad เป็นต้น
  • หน่วยความจำ(Memory Unit) คือ ส่วนทีใช้ในการเก็บชุดคำสั่ง ส่วนนี้จะทำงานร่วมกับ หน่วยประมวลผล เมื่อมีการนำเข้าข้อมูล หน่วยประมวลผลจะส่งต่อชุดคำสั่งไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำก่อนที่จะส่งกลับไปที่หน่วยประมวลผลคำนวณเพื่อแสดงผล ซึ่งหน่วยความจำนี้ ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ หน่วยความจำภายใน(Internal Memory) และ หน่วยความจำภายนอก(External Memory ) อีกด้วย
  • การประมวลผล(Processing Unit) คือ ส่วนสำคัญที่สุดของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสมองของระบบ จะเป็นส่วนที่คำนวณข้อมูล ซึ่งเราจะเรียกว่า CPU
  • การแสดงผล(Output Unit) คือ ส่วนที่แสดงผลของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อมีการนำเข้าข้อมูล ระบบก็จะประมวลผลและส่งข้อมูลมาแสดงผล ซึ่งหน่วยแสดงผลนี้ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

หลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์


หลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557